On The Road

วันที่ 59 อ.เมือง จ.ยโสธร หยุดพักขา 1 วัน

วันนี้เรามีนัดกับน้องๆที่บ้านโฮมฮัก มูลนิธิสุธาสินี น้อยอินทร์ หรือแม่ติ๋วนั้นเอง

ก่อนจะเล่าเรื่องวันนี้ขอเท้าความไปก่อน เมื่อ 2 ปีที่แล้ว พี่เก๋ได้เล่าเรื่องมูลนิธินี้ให้ฟัง ว่าดูแลเด็กๆที่ติดเชื่อ HIV โดยมีคนริเริ่มคนแรกเลยนั่นก็คือแม่ติ๋ว (ถ้าใครเคยดูโฆษณาอันหนึ่งของไทยประกันชีวิต มีอันนึงเป็นเรื่องของแม่ติ๋ว) เด็กๆพวกนี้มีตั้งแต่ทารกไปจนถึงเด็กโต ใครไม่รู้อาจคิดว่าน้องๆไปมั่วสุมอะไรแน่นอนถึงได้ติดเชื้อ HIV แต่น้องๆที่นี่ทุกคน ไม่มีสิทธิที่จะเลือกได้ว่าจะเอา HIV หรือไม่ เพราะทุกคนรับเชื้อมาจากแม่ ตั้งแต่อยู่ในท้องเลย คลอดออกมา ส่วนหนึ่งแม่เสียชีวิต ก่อนตายก็เอามาฝากไว้ ส่วนหนึ่งก็มีคนมาทิ้งไว้เนื่องจากติดเชื่อ ส่วนหนึ่งแม่คลอดไว้แล้วก็หายตัวไป คือจะบอกว่ายังไงดีหละ สงสารน้องๆพวกนี้มากอะ ไม่ได้เลือกที่จะติดเชื้อ HIV แต่กลับถูกคนรอบข้างขับไสไล่ส่ง รังเกียจเดียดฉันท์ ถึงขั้นที่ทางตัวจังหวัดเองไม่ให้ความช่วยเหลืออะไรเลย กีดกันน้องๆสุดๆ ข้างๆเป็นวัด แทนที่วัดจะช่วยอย่างน้อย น้องๆเสียชีวิตก็ให้ได้เผาที่นี่ ไม่ก็ขอข้าวก้นบาตรกิน ทีไหนได้วัดเรี่ยไรเงินชาวบ้านออกมาเพื่อที่จะสร้างกำแพงวัดสูงขึ้นไปอีก 3 เมตร เพื่อที่จะบ่งบอกออกไปเป็นนัยๆว่า ชั้นไม่ต้องการยุ่งกับพวกคุณ มีคนเคยไปถามพระว่าทำไมถึงทำแบบนี้ พระท่านบอกถ้าชาวบ้านเห็นว่าท่านไปสุงสิงกับบ้านนี้ ชาวบ้านก็จะไม่มาทำบุญที่วัด เออ….เอากับเขาดิ ท่านเป็นพระ ท่านไม่ควรเลือกปฏิบัติ เห็นแล้วเศร้า

 

เอาเป็นว่าเรื่องราวเหล่านี้หละที่ทำให้เราตัดสินใจบอกแม่ และเพื่อนๆแม่ว่าใครจะบริจาคของมั้ย ไม่เอาเงินหรอก ของไม่ใช้แล้ว เสื้อผ้า ข้าวสารอาหารแห้งอะไรก็ได้ ตอนแรกก็คิดว่าน่าจะได้นิดเดียว ที่ไหนต้องขนเข้ารถบรรทุกไปเลย ของเยอะมาก ของเล่น ของใช้ เสื้อผ้า หนังสือ ข้าวสาร เยอะแยะไปหมด เห็นแล้วซึ้งน้ำใจ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกับแม่ติ๋ว และน้องๆทุกคน

 

 

 

 

รอบที่สองนี่เจอแต่แม่ติ๋ว เพราะเราไปช่วยพี่เก๋เป็นหนึ่งในสต๊าฟของทัวร์จักรยาน Hand Across the water จากประเทศออสเตเลีย กลุ่มนี้เขามาปั่นจักรยานเพื่อท่องเที่ยวโดยที่เงินที่จ่ายเข้ามาปั่นเนียะหลังจากหักค่าใช้จ่ายก็เอาไปบริจาคที่มูลนิธิ แต่ละคนเป็นเศรษฐีจากออสเตเลีย พอถามราคาค่าสมัครเข้ามาแล้วจะเป็นลม แพงมาก แต่ก็นะเขามีปัญญาจ่าย เงินก็เอาไปบริจาค รอบนี้แม่ติ๋วมาปั่นด้วย ก็เป็นครั้งแรกที่ได้คุยกับแม่ติ๋วตรงๆ สอบถามอะไรหลายๆอย่างจากแม่ติ๋วเกี่ยวกับบ้านโฮมฮัก หลายคนอาจไม่รู้ แต่แม่ติ๋วเป็นมะเร็งทีี่ลำไส้ หมอบอกว่าขั้นสุดท้ายแล้ว อยู่รอดเกิน 6 เดือน ณ.ปัจจุบันรู้สึกว่าจะอยู่มา 5-6 ปีแล้วมั้ง ถามแม่ติ๋วว่าอะไรคือเคล็ดลับ แม่ติ๋วบอก เห็นหน้าเด็กๆยิ้มแย้มแล้วทำให้มีกำลังใจที่จะกินข้าว ทำนู่น ทำนี่ อีกอย่างคิดอยู่ทุกวันหละว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ตายเพราะฉะนั้นวันนี้ยังมีเวลา มีลมหายใจอยากทำอะไรก็ทำ 555 นับถือจริงๆคะ ตอนปั่นมาถึง จ.สุราษ น้องๆบ้านโฮมฮักก็นั่งรถทัวร์ลงมาจากยโสธรเพื่อที่จะมาเยี่ยมแม่ติ๋วที่นี่ ช่วงเวลาที่แม่ติ๋วยืนรอรถของน้องๆเลี้ยวเข้ามาในโรงแรมดูเขามีความสุขมากเลย น้องๆพอเห็นแม่ติ๋วก็กลายเป็นลิงอยู่บนรถเลย กระโดดโลดเต้นกันใหญ่เป็นภาพที่น่าประทับใจจริงๆนะ ถามหนึ่งในสต๊าฟเขาก็บอกว่าเนียะมีน้องคนนึงอายุแค่ 2 ขวบ ทุกคนดูสภาพแล้วคงไม่รอดกลับไปถึงยโสธรรอบนี้แน่นอน คือได้หาที่ฝังกลางทางแน่ๆ แต่พอมาเจอแม่ติ๋วเหมือนกำลังใจน้องเขามา แรงฮึดขึ้นมา วันนี้ไปเยี่ยมเจอน้องคนนี้น้องก็ยังคงนั่งสดใสร่าเริงทานข้าวกลางวันอย่างมีความสุข

รอบที่ 3 นี่ มาเป็นอาสาสมัครเป็นล่ามให้กับกลุ่ม Hand Across the water เนียะหละ แต่คราวนี้ไม่ได้มาปั่นจักรยาน แต่มาช่วยทำระบบน้ำ สร้างหลังคาทางเดิน ติดตั้งแท็งค์น้ำใหญ่มาก บรรจุน้ำ 250,000 ลิตรได้ สี่แท็งค์ต้องใช้รถเครนยกอย่างเดียวเพราะใหญ่มาก 555 ก็ได้มาใช้เวลาอยู่ร่วมกับเด็กๆที่นี่ 1 อาทิตย์ ทำให้สนิทกับน้องๆมากขึ้น น้องๆเห็นเราก็เดินเข้ามาทัก พูดคุยด้วย เล่นด้วย มันเลยยิ่งผูกพัน แต่ส่วนตัวแน็ตนะจะรู้สึกผูกพันกับน้องผู้หญิงคนนึงมากที่สุด ชื่อน้องเพียง ไม่รู้ทำไม แต่รู้สึกชะตาต้องกัน เหมือนเคยผูกพันกันมาก่อน (อาจฟังดูเหลือเชื่อ หรือน้ำเน่านะ) แต่มันจริงๆ พอมารื้อรูปตอนถ่ายมาบริจาคของครั้งแรกก็มีรูปที่ถ่ายกับน้องเพียง เวลาไปถึงบ้านโฮมฮัก ถ้าน้องเพียงว่างหรือเห็นเราเขาก็จะเดินมานั่งเล่นด้วย มากอด คือตอนนั้นคิดว่าไม่อยากมีลูกเองหละ อยากจะขอรับเลี้ยงน้องเพียงนี้หละ ถึงแม่ว่าเขาอาจไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง 60 ปี แต่ก็อยากจะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตน้องเขาที่ทำให้เขามีความสุขในช่วงเวลาที่เขามีอยู่ แต่ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ฐานะการเงินเรายังไม่เพียงพอที่จะรับเลี้ยงอีกหนึ่งชีวิต ถ้าน้องป่วยขึ้นมาเราก็ไม่สามารถช่วยเขาได้

วันนี้มาถึงบ้านโฮมฮักด้วยความรู้สึกที่ว่า จะเป็นยังไงถ้าน้องๆจำเราไม่ได้ จะเริ่มต้นพูดยังไงดีกับการเล่าเรื่องการเดินทางครั้งนี้ จะเป็นยังไงถ้าเราให้น้องๆออกมานั้งจักรยานแล้วไม่มีคนออกมา เอาเข้าจริง ปั่นเข้าไป น้องๆเห็นจักรยานแต่ละคนวิ่งมา พอถามว่านั่งมั้ย มีแต่คนยกมือบอกนั่งๆๆๆ แย่งกันนั่งใหญ่ ถามว่าจำพี่ได้มั้ย น้องจ๋าบอกว่าจำได้ พี่มากับพี่โทนี่คราวที่แล้ว หนูจำชื่อพี่ไม่ได้ แต่พี่ดำขึ้นเยอะนะ เหอเหอ สักพักแม่ติ๋วก็ออกมาทักทาย ดื่มน้ำดื่มท่าแล้วก็เริ่มรวบรวมเด็กมานั่งฟัง คิดว่าเรื่องคงจะน่าเบื่อเกินไปสำหรับน้องๆบางคน 555 เพราะเด็กเกินไปมั้ง แต่บางส่วนก็ดูสนใจนะ แม่ติ๋วจะถามคำถามเยอะสุด เพราะน้องๆคงไม่รู้จะถามอะไร (แต่พอตอนหลังนั่งเล่นกับเด็กๆ ก็มีน้องๆหลายคนเดินมาถามนู่นถามนี่ เกี่ยวการเดินทางครั้งนี้กันเยอะเหมือนกัน) สักพักเห็นน้องเพียงเดินมา เราถามน้องเพียงว่า จำพี่ได้มั้ย น้องมองยิ้มๆแล้วส่ายหัว จำไม่ได้ แง่ว……. แต่ไม่เป็นไร เราก็เล่าเรื่องไป แม่ติ๋วก็ถามไป ก่อนจบแม่ติ๋วถามว่าอะไรดลใจให้มาปั่น เราก็ตอบไปว่า เพื่อลบคำสบประมาท มีหลายคนเลยบอกว่าทำไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้หรอก แทนที่จะเอาคำสบประมาทตรงนั้นมาดันตัวเราให้ต่ำลง เราเลือกที่จะเอามันมาเป็นแรงผลักดันทำให้สำเร็จแล้วก็จะได้กลับไปตอกหน้ากลับ 555 แม่ติ๋วก็พูดเสริมว่าน้องๆที่นี่โดนคนรอบข้างแม้แต่ญาติสบประมาทมาตลอดชีวิต ว่าเป็นเอดส์ทำอะไรก็ไม่ได้หรอก ไอ้นี่ก็ไม่ได้ ไอ้นู่นก็ไม่ได้ ขอบคุณมากที่มาเป็นตัวอย่างให้น้องเห็น ตอนจบเราถามว่ามีใครอยากลองนั่งมั้ย จะให้พอลพาขี่ โห…จากตอนแรกที่นั่งหาว จะหลับกัน ตาตื่นวิ่งกันมาเพียบ จนต้องให้เข้าแถวเลยทีเดียว แต่ติ๋วกับสต๊าฟแต่ละคนต้องช่วยกันจัดติว จัดระบบ 555 ระหว่างรอจัดคิว น้องเพียงวิ่งมาหา แล้วก็เข้ามากอด พร้อมกับบอกว่า หนูจำพี่ได้แล้ว นึกว่าจะไม่มาหากันแล้วซะอีก….น้ำตาเกือบไหลอะ

หลายคนถามว่าพี่ฝรั่งชื่ออะไร เราก็บอกว่าพอล หลายคนออกเสียงไม่ได้ กลายเป็น พอ ไม่ก็ พร เลยบอกเอางี้เรียบว่า พอลล่า ละกัน 555 กลายเป็นพอลล่าไปเรียบร้อย เด็กๆแต่ละคนขึ้นไปนั่งตอนแรกด้วยสีหน้ากลัวๆนะ พอพอลเลี้ยวก็แอบได้ยินเสียงกรี๊ดบ้าง เข้าใจว่าน้องคงเสียว 555 แต่พอพอลจอดแต่ละคนกระโดดลงจากจักรยานด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ตื่นเต้น พร้อมกับพูดว่าขอบคุณคับ/คะ ทำให้เพื่อนที่ต่อคิวคนต่อไป อยากจะขึ้นไวๆ บางคนอยากขึ้น แต่ไม่กล้าขึ้นก็มี ก็ต้องช่วยกันดันขึ้นไป มีน้องคนนึง ไม่กล้าขึ้น แต่อยากขึ้น ก็หว่านล้อมจนสุดท้ายยอมขึ้น ปั่นไปได้หนึ่งรอบน้องบอกไม่ไหวแล้วพี่ หนูมึนหัว 555 พอลหัวเราะใหญ่เลย ระหว่างทีพอลปั่นจักรยานให้น้องๆ น้องคนอื่นๆก็จะมานั่งข้างๆถามเกี่ยวกับจักรยาน มาถ่ายรูปเล่น นอกจากน้องๆจะได้นั่งแล้ว แม่ติ๋วก็ได้นั่ง สต๊าฟคนอื่นๆก็ได้นั่ง เรียกว่าวันนี้เรียกรอยยิ้ม เสียงหัวเราะให้กับหลายชีวิตได้เลยทีเดียว สุดท้ายแล้วภาพพวกนี้หละก็ทำให้เราอดยิ้มเองไม่ได้เหมือนกัน ก่อนไปเรามอบเงินให้ทางมูลนิธิไป 15,000 บาท ของคุณเพื่อนๆของพอลที่ร่วมบริจาค เงินนี้อาจจะไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก แต่ก็ให้ได้มีส่วนร่วมในการสร้างรอยยิ้มแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ยังดี

 

วันนี้แน็ตมีความสุขมากเลยนะ ที่ได้กลับมาแม่ติ๋วบอกว่าเด็กๆที่นี่รู้ว่าทุกคนที่มาเยี่ยมพวกเขาจะไม่กลับมาอีก ทำให้เด็กๆเลือกที่จะไม่ให้ใจกับคนที่มาเยี่ยม ไม่เข้าไปกอด ไม่เข้าไปสุงสิงด้วย ก็ขอบคุณมากที่กลับมา เพื่อให้เด็กๆรู้ว่ายังมีคนที่แคร์พวกเขาอยู่ เราก็บอกเมื่อกี้น้องเพียงวิ่งมากอด แม่ติ๋วก็ไมพูดอะไร ยิ้มอย่างเดียว

 

ตอนลาจากกันแม่ติ๋วให้ของขวัญมาเป็นผ้าเช็ดตัวทอเองจากที่นี่ แล้วก็ให้น้องๆแต่ละคนมาวาดรูปมือ เขียนชื่อตัวเองลงไปเป็นภาษาอังกฤษพร้อมทั้งขอบคุณ น้องๆสะกดชื่อตัวเองไม่ได้ วิ่งกันไปวิ่งกันมาเพื่อถามเราว่าชื่อพวกเขาสะกดยังไง 555 ขอบคุณมากคะ ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเสร็จ ปั่นจักรยานออกมา น้องๆก็วิ่งตามมาเกาะรั้วบ้านเพื่อโบกมือลา เสียดายกล้องไม่อยู่กับตัว ไม่งั้นคงจะเป็นอีกหนึ่งรูปที่น่าประทับใจแน่นอน ปั่นออกมาด้วยความสุข รอยยิ้มบนใบหน้า และแอบมีน้ำตาแห่งความคืดถึง ไม่รู้ว่าเมื่อไหรจะได้มีโอกาสมาอีก เพราะไกลเหลือเกิน เหอ เหอ พอลบอก ปีหน้าก็มาเยี่ยมใหม่สิ หาของมาบริจาคจะได้มาเยี่ยมน้องๆอีก

 

Tags: ,

Trackbacks/Pingbacks

  1. We visit Ban Home Hug Orphanage | Every Province Challenge - สิงหาคม 15, 2012

    […] […]

Add your response