On The Road

วันที่ 41 อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา พักขา 1 วัน

พักขา 1 วัน วันนี้แวะไปดูประติมากรรมปั้นทรายโลก ค่าเข้าคนละ 80 บาท ต่างชาติ คนไทย ราคาเท่ากัน ถ้านักเรียนก็ลดไปครึ่งนึง ก็โอเคนะ เพิ่งเคยเห็นคนก่อกองทรายแบบละเอียดแบบนี้ ใครไม่เคยเห็น แนะนำเลยจ้า ตอนเข้าไปเขากำลังแกะสลักปรมาจาร์ยตั๊กม้ออยู่ สุดยอดอะ คุยกับพี่คนที่กำลังแกะสลักอยู่ เขาว่าใช้แค่ทรายอย่างเดียว ผสมน้ำ แต่ต้องเป็นทรายละเอียดเท่านั้น ตอนแรกอัดทรายให้แน่่นเป็นแท่ง แล้วก็เริ่มแกะสลักจากบนลงล่าง สุดยอดมากขอบอก

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ไม่รู้จะเขียนอะไร ก็ขอเขียนเกี่ยวกับตัวเองสักนิดนึง ภายในวันเดียวมีถึงสองเรื่องเลยทีเดียวที่มากวนใจภายในวันเดียว เรื่องแรกวันนี้โทรไปทางคอนโดที่เช่าอยู่มาปีกว่าที่หัวหิน ว่าเมื่อไหรจะได้รับเงินมัดจำ สองหมื่นบาทคืน ก่อนจะเล่าต่อต้องขอเท้าความนิดนึง เช่าอยู่ที่นี่มา ปีครึ่ง จ่ายค่าเช่าตรงทุกเดือน เป็นห้องที่มีเฟอร์นิเจอร์มาด้วย เฟอร์นิเจอร์เจ้าปัญหาของเรื่องนี้คือโซฟาใหญ่ที่ห้องนั่งเล่น เป็นโซฟาธรรมดา ไม่ได้ใหม่อะไร พอลใช้นั่งทุกวัน วันนึงเห็นว่าโซฟาขาดประมาณ 1 เซนติเมตร ด้วยความที่เป็นผู้เช่าที่ดี ก็ลงไปแจ้งว่าให้ขึ้นมาดูโซฟาหน่อยมันขาดนิดนึง สองอาทิตย์ต่อมาก็ไม่มีใครขึ้นมาเช็ค ไม่มีใครถามอะไร โซฟาก็ขาดเพื่มขึ้นทีละนิด เราก็ลงไปแจ้งอีกรอบคราวนี้แจ้งกับผู้จัดการโดยตรง พี่เขายิ้มแล้วก็บอกว่าค่าลงบันทึกไว้แล้ว แล้วก็จบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีใครมาเช็ค สุดท้ายโซฟาก็ขาดวิ่นเรียบร้อย จะย้ายไปไว้มุมห้องไม่ใช้มันก็เป็นไปไม่ได้เพราะโซฟาอันใหญ่มาก ก่อนย้ายออกจากคอนโดเราก็ให้เจ้าหน้าที่ขึ้นมาเช็คสภาพห้อง ทางผู้จัดการก็บอก ไม่ต้องชดใช้ค่าโซฟา สิ่งที่จะหักออกจากค่ามัดจำก็มีแค่ค่าน้ำ ค่าไฟ โอเคอันนี้เข้าใจ คอมมอนเซนส์แบบสุดๆ พอวันนี้โทรไปถามว่าเมื่อไหรจะโอนเงินมา เขาก็ว่าประมาณกลางเดือนนี้ พอเราถามว่าแล้วคอนเฟริมนะคะ ว่าหักแค่ค่าน้ำ ค่าไฟ พี่เขาบอก ไม่แน่มีค่าซ่อมโซฟาด้วย เจ้าของห้องอาจซื้อชุดใหม่ ไม่ก็ซ่อม เราต้องช่วยออกเงินด้วย เอ่อ คือ….งง อะ อะไรของมันหว่ะ เรื่องเงินมันไม่ใช่ประเด็นนะ ประเด็นมันอยู่ที่แจ้งไปแล้ว สองรอบ ตั้งกะรอยเซนต์เดียว ขาดจนกระทั่งรอยยาวจนเกินจะซ่อม แล้วทำไมต้องมารับผิดชอบด้วยหละเนียะ

 

เรื่องที่สอง หลังจากดูปั้นทรายโลกเสร็จก็เรียบตุ๊กตุ๊กกลับโรงแรม คนขับเหยียบมิดเลยมั้ง เพราะนั่งเฉยๆมารู้ตัวอีกทีมือซ้ายกับมือขวายึดรถไว้แบบกลัวตายมาก แล้วคนขับก็ขับจี้ตูดกะบะคันหน้า ปาดไปปาดมา จนสุดท้ายคงตัดสินใจขับแซงขึ้นไปเบียดรถกะบะออกทางซ้ายโดยที่แม่งไม่เปิดตาดเลยว่าอีกเลนนึงมีตุ๊กตุ๊กขับช้าอยู่ ช่องว่างระหว่างตุ๊กๆคันนั้นกับกะบะแคบมาก คนขับตุ๊กๆคันเราก็เบียดแซงไปได้แบบเฉียดฉิว กะบะก็บีบแตรด่าใหญ่ คือถ้าคันใดคันหนึ่งไม่ว่าจะทางซ้ายหรือทางขวาหักเข้ามุมมาแค่นิดเดียว คันเราที่อยู่ตรงกลางก็ชนแน่นอน มาอย่างไวด้วย พอลตะโกนด่าเป็นภาษาอังกฤษประมาณว่าขับรถภาษาอะไร ตัวเราเองช๊อคอะ แบบเฮ้ย….เกือบไปแล้วนะเนียะ ผ่านจากจุดเกิดเหตุนัั้นไปประมาณ 2 นาทีก็ถึงหน้าเซเว่นพวกเราก็ลงไปซื้อของรถตุ๊กๆคันเดิมก็รออยู่ สักพักสติกลับคืนมาก็รีบเดินไปหาคนขับพร้อมกับถามว่า โทษนะคะ ถ้าเมื่อกี้รถชนกันขึ้นมาทางคุณจะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลเราใช่มั้ย คนขับแม่งตอบหน้าเนียนว่า กะบะสิต้องเป็นคนรับผิดชอบ เพราะกะบะขับผิด สรุปโดยรวมแล้วกันว่าคนขับตุ๊กๆโทษไปทางกะบะว่าขับไม่อยู่ในเลนตัวเอง เบียดไปเบียดมา ทำให้รถตุ๊กแซงไม่ได้ พอเห็นโอกาสแซงได้ก็เลยเหยียบขึ้นมา เราก็บอกไปว่าประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่าใครขับรถแย่ขนาดไหน ประเด็นมันอยู่ที่ว่า คุณมีผู้โดยสารอยู่ และคุณเอาชีวิตผู้โดยสารของคุณไปเสี่ยงกับเรื่องพวกนี้อะนะ จรรยาบรรณคนขับรถมีมั้ยเนียะ ถ้าชั้นเป็นอะไรขึ้นมา น้ำหน้าอย่างคุณจะมีปัญญาชดใช้รับผิดชอบอะไรมั้ย คุณจะขับไปตายมันชีวิตคุณ แต่ชั้นสองคนยังมีอนาคต ยังต้องการมีชีวิตอยู่ แต่พูดไปก็เหมือนเป่าปี่ให้ควายฟังเพราะไอ้คนขับมันก็พูดอยู่อย่างเดียวว่ามันไม่ผิด รถกะบะผิดเพราะขับไม่ตรงเลน คือไม่ได้สนใจถึงประเด็นผู้โดยสารเลยแม้แต่นิดเดียว คุยกันไม่รู้เรื่องจริงๆ คุณหน้ามึนยืนกระต่ายขาเดียว มองแต่มุมมองของคุณ แต่ไม่มองถึงชีวิตผู้โดยสารเลย ไม่รู้จะคุยทำไม เหมือนคุยกันคนละภาษา สุดท้ายก็กระโดดลงจากรถเดินกลับโรงแรม

 

จากการที่ขี่จักรยานเห็นคนขับรถหน้ามึนแบบนี้เยอะมาก ทางโค้งเส้นทึบห้ามแซงมันก็ยังแซงกัน ทั้งๆที่ก็ไม่เห็นอะว่ามีรถสวนมามั้ย ขึ้นสะพานสูงเส้นทึบห้ามแซง ก็แซงมา พูดได้คำเดียวว่า ถ้าคนที่ขับรถแบบนี้แล้วโดนรถชนตายจะไม่รู้สึกเศร้าเลยอะ เหมือนธรรมชาติได้ทำหน้าที่ในการคัดสรรพวกปัญญาอ่อนให้หมดโลกไป แต่ก็เหมือนโลกเล่นตลก เพราะคนที่ขับรถดีๆ รักษากฏจราจรกลับต้องมารับกรรมที่ไอ้พวกโง่พวกนี้ก่อ รถตู้นี่ตัวดีเลย โหแต่ละคันขับแบบจะไปแข่ง F1 หรือไง ชีวิตผู้โดยสารมากี่คนที่ฝากไว้ในมือคุณ พวกคุณไม่สนใจเลย คุณจะขับไปตายไม่ว่าเลย รบกวนช่วยติดป้ายข้างหน้าว่า รถคันนี้จะขับไปตาย ใครสนใจตาย เชิญขึ้น คนที่เขารักชีวิตเขาจะได้ไม่หลวมตัวขึ้นไป แล้วเป็นไงอ่านข่าวแต่ละข่าว ผู้โดยสารตาย คนขับรอด แถมหนีไปได้ด้วย เออ เอากับมัน

 

คนส่วนใหญ่พูดนะว่าขี่จักรยานทางไกลแบบนี้ไม่กลัวรถชนหรอ ถ้าลองมานั่งคิดๆดู นั่งรถก็มีโอกาสเดินชน นั่งมอไซค์ก็มีโอกาสโดนชน เดินอยู่เฉยๆก็ยังมีโอกาสเดินชน นั่งอยู่ในบ้านดีๆรถลอยเข้ามาชนก็มี เพราะฉะนั้นทำอะไรก็อันตรายทั้งนั้นหละ ต่อให้เราไม่ประมาทขนาดไหน พวกปัญญาอ่อนบนโลกนี้มันก็ยังมีเยอะเกินไปอยู่ดี

Tags: ,

One Response to “วันที่ 41 อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา พักขา 1 วัน”

  1. On กรกฎาคม 12, 2012 at 10:23 am